JURIST 101
มาตรา ๔๙ ให้มีคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนจำนวนห้าคนประกอบด้วย ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะกรรมการแต่งตั้งจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ด้านการเงิน การสังคมสงเคราะห์ และการประเมินผลด้านละหนึ่งคนและให้รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งปลัดกระทรวงมอบหมายเป็นกรรมการและเลขานุการ
ให้นำมาตรา ๑๗ มาตรา ๑๘ มาตรา ๑๙ มาตรา ๒๐ และมาตรา ๒๑ มาใช้บังคับกับการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และการประชุมของคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของกองทุน โดยอนุโลม
มาตรา ๕๐ คณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานของกองทุน
(๒) รายงานผลการปฏิบัติงานพร้อมทั้งข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการ
(๓) เรียกเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับกองทุนจากบุคคลใดหรือเรียกบุคคลใดมาชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการพิจารณาประเมินผล
มาตรา ๕๑ ให้คณะกรรมการบริหารกองทุนจัดทำงบดุลและบัญชีทำการส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบและรับรองภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีทุกปี
ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทำรายงานผลการสอบและรับรองบัญชีและการเงินของกองทุนเสนอต่อคณะกรรมการภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี เพื่อให้คณะกรรมการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
รายงานผลการสอบบัญชีตามวรรคสอง ให้รัฐมนตรีเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบและจัดให้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
มาตรา ๕๒ ผู้ใดกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงสิบสองปี และปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงหนึ่งล้านสองแสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ได้กระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ไม่ถึงสิบแปดปีต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกแสนบาทถึงหนึ่งล้านห้าแสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ได้กระทำแก่บุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปีหรือผู้มีกายพิการหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่แปดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดแสนบาทถึงสองล้านบาท
มาตรา ๕๒/๑ ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๖/๑ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือน ถึงสี่ปี หรือปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาทถึงสี่แสนบาทต่อผู้เสียหายหนึ่งคน หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัสหรือ เป็นโรคร้ายแรงซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่แปดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ แปดแสนบาทถึงสองล้านบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ จำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม เป็นกรณีที่ผู้บุพการี ให้ผู้สืบสันดานทำงานหรือให้บริการเพราะเหตุความยากจนเหลือทนทาน หรือเมื่อพิจารณาถึงสภาพความผิด หรือเหตุอันควรปรานีอื่นแล้ว ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ลงโทษผู้กระทำความผิดเลย ก็ได้
มาตรา ๕๓ นิติบุคคลใดกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งหรือตามมาตรา ๖/๑ เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำ ความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือ กระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษ ตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย*
มาตรา ๕๓/๑* ถ้าการกระทำผิดตามมาตรา ๕๒ หรือมาตรา ๕๓ วรรคสอง เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำ
(๑) รับอันตรายสาหัส หรือเป็นโรคร้ายแรงซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่แปดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดแสนบาทถึงสองล้านบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
(๒) ถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต
มาตรา ๕๓/๒* เจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้ดำเนินกิจการสถานประกอบกิจการ โรงงานหรือยานพาหนะ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งตามมาตรา ๑๖/๒ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๕๔ ผู้ใดขัดขวางการสืบสวน การสอบสวน การฟ้องร้อง หรือการดำเนินคดีความผิดฐานค้ามนุษย์ เพื่อมิให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถ้าเป็นการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(๑) ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ผู้เสียหายหรือพยานเพื่อจูงใจให้ผู้นั้นไม่ไปพบพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือไม่ไปศาลเพื่อให้ข้อเท็จจริงหรือเบิกความ หรือเพื่อให้ข้อเท็จจริงหรือเบิกความอันเป็นเท็จ หรือไม่ให้ข้อเท็จจริงหรือเบิกความ ในการดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
(๒) ใช้กำลังบังคับ ขู่เข็ญ ข่มขู่ ข่มขืนใจ หลอกลวง หรือกระทำการอันมิชอบประการอื่นเพื่อมิให้ผู้เสียหายหรือพยานไปพบพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือไม่ไปศาลเพื่อให้ข้อเท็จจริงหรือเบิกความ หรือเพื่อให้ผู้นั้นให้ข้อเท็จจริงหรือเบิกความอันเป็นเท็จ หรือไม่ให้ข้อเท็จจริงหรือเบิกความ ในการดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
(๓) ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ เอาไปเสีย แก้ไข เปลี่ยนแปลง ปกปิด หรือซ่อนเร้น เอกสารหรือพยานหลักฐานใด ๆ หรือปลอม ทำ หรือใช้เอกสารหรือพยานหลักฐานใด ๆ อันเป็นเท็จในการดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
(๔) ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่กรรมการ กรรมการ ปกค. อนุกรรมการ สมาชิกของคณะทำงาน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือเจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ พนักงานอัยการ หรือพนักงานสอบสวน หรือเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือ
(๕) ใช้กำลังบังคับ ขู่เข็ญ ข่มขู่ ข่มขืนใจ หรือกระทำการอันมิชอบประการอื่นต่อกรรมการ กรรมการ ปกค. อนุกรรมการ สมาชิกของคณะทำงาน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้หรือเจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ พนักงานอัยการ หรือพนักงานสอบสวน เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕๕ ผู้ใดกระทำการดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท เว้นแต่เป็นการเปิดเผยในการปฏิบัติตามหน้าที่หรือกฎหมาย
(๑) รู้ว่ามีการยื่นคำขอเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๓๐ แล้วเปิดเผยแก่บุคคลที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องให้รู้ว่ามีหรือจะมีการยื่นคำขอเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารดังกล่าวโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้ยื่นคำขอสูญเสียโอกาสที่จะได้มาซึ่งเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารนั้น หรือ
(๒) รู้หรือได้มาซึ่งเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารที่ได้มาตามมาตรา ๓๐ แล้วเปิดเผยแก่บุคคลที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องให้รู้เอกสารหรือข้อมูลข่าวสารดังกล่าว
มาตรา ๕๖ ผู้ใดกระทำการหรือจัดให้มีการกระทำการดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(๑) บันทึกภาพ แพร่ภาพ พิมพ์รูป หรือบันทึกเสียง แพร่เสียงหรือสิ่งอื่นที่สามารถแสดงว่าบุคคลใดเป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ ทั้งนี้ ไม่ว่าขั้นตอนใด ๆ
(๒) โฆษณาหรือเผยแพร่ข้อความ ซึ่งปรากฏในทางสอบสวนของพนักงานสอบสวนหรือในทางพิจารณาคดีของศาลที่ทำให้บุคคลอื่นรู้จักชื่อตัว ชื่อสกุลของผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์หรือบุคคลในครอบครัวผู้เสียหายนั้น ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยสื่อสารสนเทศประเภทใด
(๓) โฆษณาหรือเผยแพร่ข้อความ ภาพหรือเสียง ไม่ว่าโดยสื่อสารสนเทศประเภทใด เปิดเผยประวัติ สถานที่อยู่ สถานที่ทำงาน หรือสถานศึกษาของบุคคลซึ่งเป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่การกระทำที่ผู้กระทำจำต้องกระทำเพื่อประโยชน์ของทางราชการในการคุ้มครองหรือช่วยเหลือผู้เสียหาย หรือผู้เสียหายยินยอมโดยบริสุทธิ์ใจ
มาตรา ๕๖/๑ ผู้ใดเป็นธุระจัดหา ซื้อ ขาย จำหน่าย พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด หน่วงเหนี่ยวกักขังจัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ ซึ่งบุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี ให้ทำงาน หรือให้บริการที่เป็นอันตรายอย่างร้ายแรงและมีผลกระทบต่อร่างกายหรือจิตใจ การเจริญเติบโต หรือพัฒนาการ หรือในลักษณะหรือในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของบุคคลนั้น หรือขัดต่อศีลธรรมอันดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปีและปรับไม่เกินสี่แสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นกรณีที่ผู้บุพการีให้ผู้สืบสันดานทำงานหรือให้บริการเพราะเหตุความยากจนเหลือทนทาน หรือเมื่อพิจารณาถึงสภาพความผิด หรือเหตุอันควรปรานีอื่นแล้วศาลจะไม่ลงโทษผู้กระทำความผิดเลยก็ได้
มาตรา ๕๗ ให้โอนเงินทุนสงเคราะห์เกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ตามระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ว่าด้วยการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินสำหรับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาเป็นทุนประเดิมแก่กองทุนตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวง
กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๕๒
อาศัยอำนาจตามความในบทนิยาม คำว่า “พนักงานเจ้าหน้าที่” ในมาตรา ๔ และมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้ผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นข้าราชการซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการ
(๒) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
(๓) เคยปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์มาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
(๔) เป็นผู้มีความประพฤติเหมาะสมในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
(๕) ผ่านการอบรมการเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ตามหลักสูตรที่ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำหนดและผ่านการประเมินจากคณะกรรมการประเมินที่ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แต่งตั้ง สำหรับผู้มีประสบการณ์ทำงานเป็นที่ประจักษ์ ไม่ต้องผ่านการอบรม แต่ต้องผ่านการประเมินตามระเบียบที่ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำหนด
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
อิสสระ สมชัย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
(ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖ ตอนที่ ๒๓ ก หน้า ๒๒ วันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๒)
ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ว่าด้วยการจดทะเบียนองค์กรเอกชนด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์พ.ศ. ๒๕๕๒
เพื่อให้องค์กรเอกชนที่มีการดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ได้รับการสนับสนุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๖ (๖) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ว่าด้วยการจดทะเบียนองค์กรเอกชนด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๒”
ข้อ ๒* ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖ ตอน ๗๐ พิเศษ ง หน้า ๑๕ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๒
ข้อ ๓ ในระเบียบนี้
“องค์กรเอกชน” หมายความว่า องค์กรที่มิใช่ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือองค์กรอื่นของรัฐ ซึ่งไม่ได้แสวงหากำไร และมีการดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ และให้รวมถึงมูลนิธิ สมาคม ที่จดทะเบียนตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือตามกฎหมายอื่น
“การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์” หมายความว่า การดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ เช่น การป้องกัน การคุ้มครองช่วยเหลือ การให้ที่พัก อาหาร การรักษาพยาบาล การบำบัดฟื้นฟูทางร่างกายและจิตใจ การดำเนินคดีและการบังคับใช้กฎหมาย การส่งกลับและคืนสู่สังคม ความร่วมมือระหว่างประเทศ รวมทั้งการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในด้านอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์กำหนด เป็นต้น
“สำนักงาน” หมายความว่า สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
“ปลัดกระทรวง” หมายความว่า ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ข้อ ๔ องค์กรเอกชนใดมีความประสงค์ที่จะยื่นคำขอจดทะเบียนองค์กรเอกชนด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
(๑) จะต้องดำเนินกิจการและมีผลงานเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ต่อเนื่องจนถึงวันยื่นคำขอไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
(๒) มีที่ทำการตั้งอยู่ในท้องที่ที่จะยื่นคำขอไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
(๓) มีบุคลากร หรืออาสาสมัครในการปฏิบัติงาน หรือมีที่ปรึกษาที่มีความรู้เกี่ยวกับการป้องกัน ปราบปราม หรือแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์
(๔) มีแผนงาน โครงการ และกิจกรรมเกี่ยวข้องกับการป้องกัน ปราบปราม หรือแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างชัดเจน
(๕) ผู้บริหารองค์กรเอกชน ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสีย ไม่เป็นบุคคลล้มละลายและไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำด้วยความประมาท หรือความผิดลหุโทษ
ข้อ ๕ การยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นองค์กรเอกชนด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ตามระเบียบนี้ ให้ผู้บริหารองค์กร หรือผู้ได้รับมอบฉันทะจากองค์กรเอกชนยื่นคำขอตามแบบท้ายระเบียบนี้ พร้อมแนบเอกสารและหลักฐานประกอบการพิจารณา ดังต่อไปนี้
(๑) สำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้บริหารองค์กรที่ยื่นคำขอ
(๒) สำเนาตราสารจดทะเบียนมูลนิธิ สมาคม หรือสำเนาข้อบังคับ ระเบียบขององค์กรเอกชนซึ่งผู้บริหารองค์กร หรือผู้ซึ่งได้รับมอบฉันทะให้คำรับรอง
(๓) รายนามคณะกรรมการหรือคณะผู้บริหารองค์กร
(๔) แผนงานโครงการขององค์กรเอกชนที่จะดำเนินการ
(๕) ผลการดำเนินงานขององค์กรเอกชนในระยะเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
การยื่นคำขอตามวรรคหนึ่งให้ยื่นคำขอด้วยตนเอง หรือส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับก็ได้
ข้อ ๖ การยื่นคำขอในส่วนภูมิภาคให้ยื่นคำขอที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดที่องค์กรเอกชนนั้นมีสถานที่ทำการตั้งอยู่ และให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิจารณาเสนอความเห็นต่อผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่ออนุมัติให้จดทะเบียน แล้วรายงานผลให้ปลัดกระทรวงทราบ
ในกรุงเทพมหานครให้ยื่นคำขอต่อสำนักงาน เพื่อพิจารณาเสนอความเห็นต่อปลัดกระทรวงเพื่ออนุมัติให้จดทะเบียน
ข้อ ๗ ในกรณีองค์กรเอกชนใดที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นองค์กรเอกชนด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์แล้ว ให้สำนักงาน หรือสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ที่รับคำขอออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนตามแบบแนบท้ายระเบียบนี้ให้แก่องค์กรเอกชนนั้น
หลักเกณฑ์การขอรับการช่วยเหลือจากกองทุนเพื่อการป้องกันละปราบปรามการค้ามนุษย์ให้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และอนุมัติการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินของกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
องค์กรเอกชน ตามวรรคหนึ่งอาจได้รับการพิจารณาส่งเสริมสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินกิจการขององค์กรจากกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
ข้อ ๘ ในกรณีที่ผู้รับคำขอ เห็นว่าการยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นองค์กรเอกชนด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ให้แจ้งผู้ยื่นคำขอโดยไม่ชักช้า
ในกรณีที่ไม่ได้รับการอนุมัติให้จดทะเบียนตามระเบียบนี้ ให้แจ้งเหตุผลให้ผู้ยื่นคำขอทราบภายในสี่สิบห้าวัน นับแต่วันที่ได้รับเอกสารครบถ้วนแล้ว
ข้อ ๙ ให้ปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงหรือผู้ว่าราชการจังหวัด มีอำนาจเข้าไปดูแล ให้คำแนะนำ แก่องค์กรเอกชนที่จดทะเบียนตามระเบียบนี้ซึ่งรับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ไว้ดูแล ในเรื่องความปลอดภัย การคุ้มครองดูแล และสภาพความเป็นอยู่ของผู้เสียหาย
ข้อ ๑๐ ในกรณีที่มีการเลิกกิจการหรือเปลี่ยนชื่อองค์กรเอกชนใด ให้องค์กรเอกชนนั้นแจ้งต่อสำนักงานที่รับจดทะเบียน เพื่อให้มีการแก้ไขทะเบียนรายชื่อต่อไป
ข้อ ๑๑ องค์กรเอกชนใดขาดคุณสมบัติ ให้ผู้อนุมัติคำขอมีอำนาจเพิกถอนรายชื่อจากทะเบียนองค์กรเอกชน
ข้อ ๑๒ ให้สำนักงานทบทวนรายชื่อองค์กรเอกชนที่จดทะเบียน ทุกสองปี เพื่อเป็นข้อมูลในการประสานงานการดำเนินงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ข้อ ๑๓ ให้ปลัดกระทรวงรักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีอำนาจกำหนดแบบแนวปฏิบัติ รวมทั้งวินิจฉัยชี้ขาดในกรณีที่มีปัญหา หรือข้อขัดแย้งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี
ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
แบบฟอร์มคำขอจดทะเบียนองค์กรด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
ชื่อ (มูลนิธิ/สมาคม/องค์กรเอกชน).....................................................................................
ปีที่เริ่มก่อตั้ง..........................................................................................................................
สถานที่ตั้งสำนักงาน.............................................................................................................
โทรศัพท์........................................................โทรสาร...........................................................
วัตถุประสงค์ขององค์กร.......................................................................................................
................................................................................................................................................
รายชื่อคณะทำงาน/ที่ปรึกษา...............................................................................................
ผู้ประสานงาน...............................................โทรศัพท์..........................................................
แผนงาน/โครงการ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์..................
................................................................................................................................................
ผลงานที่ผ่านมาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี (โดยสรุป)....................................................................
................................................................................................................................................................................................................................................................................................
แหล่งเงินทุน..........................................................................................................................
................................................................................................................................................
ฐานะทางการเงิน/รายงานงบดุล.........................................................................................
................................................................................................................................................
กลุ่มเป้าหมายที่ให้บริการ...................................................................................................
................................................................................................................................................
พื้นที่ดำเนินการ.....................................................................................................................
(ลงชื่อ)....................................................ประธาน
(..................................................)
(ลงชื่อ)....................................................ผู้ยื่นคำขอ
(..................................................)
ตำแหน่ง..................................................................
วันที่........................................................................
ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เรื่อง กำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัยตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๑๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ มีผลบังคับใช้ โดยพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๑๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ถูกกำหนดให้เป็นกฎหมายตามบัญชี ๑ ลำดับที่ ๙๑ ท้ายพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๑๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จะต้องดำเนินการประกาศกำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนด เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัยตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๑๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม”
ข้อ ๒* ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต่อไปนี้ เป็นผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัยในความผิดทางพินัย ตามความในมาตรา ๕๗ มาตรา ๕๙ มาตรา ๖๑ มาตรา ๖๘ มาตรา ๖๙ และมาตรา ๗๐ แห่งพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๑๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(๑) อธิบดีกรมวิชาการเกษตร
(๒) รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร
(๓) ผู้อํานวยการสํานักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร ผู้อํานวยการสํานักคุ้มครองพันธุ์พืช ผู้อํานวยการสํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ ๑ - ๘ (๔) นักวิชาการเกษตร นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการโรคพืช นักกีฏวิทยา นิติกร ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่ระดับชำนาญการขึ้นไป
(๕) เจ้าพนักงานการเกษตร ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่ระดับอาวุโสขึ้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๖
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๑๘”
Unofficial Translation
Section 1. This Act is called the “Plant Variety Act B.E. 2518 (1975)”.
มาตรา ๒* พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
Unofficial Translation
Section 2. This Act shall come into force from the day following its publication in the Government Gazette.
มาตรา ๓*ในพระราชบัญญัตินี้
“พันธุ์พืช” หมายความว่า พันธุ์ หรือกลุ่มของพืชที่มีพันธุกรรมและลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนหรือคล้ายคลึงกันและมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่แตกต่างจากกลุ่มอื่นในพืชชนิดเดียวกันที่สามารถตรวจสอบได้
“เมล็ดพันธุ์” หมายความว่า เมล็ด หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของพืชที่ใช้เพาะปลูกหรือใช้ทำพันธุ์ เช่น ต้น ตอ หน่อ เหง้า กิ่ง แขนง ตา ราก หัว ดอก หรือผล
“เมล็ดพันธุ์ควบคุม” หมายความว่า เมล็ดพันธุ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้เป็นเมล็ดพันธุ์ควบคุม
“เมล็ดพันธุ์รับรอง” หมายความว่า เมล็ดพันธุ์ที่ได้ผ่านการทดสอบ ตรวจหรือวิเคราะห์คุณภาพหรือคุณสมบัติและอธิบดีออกหนังสือรับรองให้
“พันธุ์พืชขึ้นทะเบียน” หมายความว่า พันธุ์พืชที่ผ่านการพิจารณาขึ้นทะเบียนและอธิบดีออกหนังสือรับรองให้
“พันธุ์พืชรับรอง” หมายความว่า พันธุ์พืชขึ้นทะเบียนที่ผ่านการพิจารณารับรองให้เป็นพันธุ์พืชรับรองและอธิบดีออกหนังสือรับรองให้
“พืชสงวน” หมายความว่า พืชที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้เป็นพืชสงวน
“พืชต้องห้าม” หมายความว่า พืชที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้เป็นพืชต้องห้าม
“พืชอนุรักษ์” หมายความว่า พืชชนิดที่กำหนดไว้ในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่กำลังจะสูญพันธุ์ ซึ่งรัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
“การขยายพันธุ์เทียม” หมายความว่า การขยายพันธุ์ที่ไม่ใช่การขยายพันธุ์โดยธรรมชาติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกำหนด
“ฉลาก” หมายความรวมถึง รูป รอยประดิษฐ์ หรือข้อความใด ๆ อันแสดงไว้ที่ภาชนะบรรจุ
“ภาชนะบรรจุ” หมายความว่า วัตถุใด ๆ ที่ใช้บรรจุหรือห่อหุ้มเมล็ดพันธุ์โดยเฉพาะ
“รวบรวม” หมายความว่า รวบรวมเมล็ดพันธุ์เพื่อคัดเลือกหรือบรรจุในภาชนะบรรจุ
“ขาย” หมายความว่า จำหน่าย จ่าย แจก หรือแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการค้าและหมายความรวมถึงมีไว้เพื่อขาย
“นำเข้า” หมายความว่า นำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร
“ส่งออก” หมายความว่า นำหรือส่งออกนอกราชอาณาจักร
“นำผ่าน” หมายความว่า นำหรือส่งผ่านราชอาณาจักร โดยมีการขนถ่ายหรือเปลี่ยนยานพาหนะ
“สถานที่” หมายความว่า ที่ อาคารหรือส่วนของอาคาร และหมายความรวมถึงบริเวณของสถานที่ด้วย
“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการพันธุ์พืช
“พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
“อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรมวิชาการเกษตร
“รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
Unofficial Translation
Section 3. In this Act:
“Plant Variety” means a variety or a group of plants with identical or similar genotypes and phenotypes and a specific identifiable character different from other groups of plants in the same species.
“Seed” means seed or part of the plant to be used for growing or propagation such as stalk, stump, bulb or shoot, rhizome, branch, twig, bud, root, tuber, flower, fruit, or seed.
“Controlled seed” means seed prescribed by the Minister as controlled seed.
“Certified seed” means a seed that has been tested, examined, or analyzed of the quality or characteristics and the Director-General has issued a certificate thereof;
“Registered plant variety” means a plant variety that has been registered and issued a certificate therefore by the Director-General;
“Certified plant variety” means a registered variety that has been certified as a certified plant variety and the Director-General has issued a certificate thereof;
“Reserved Plant” means a plant prescribed by the Minister as a reserved plant;
“Prohibited Plant” means a plant prescribed by the Minister as a prohibited plant.
“Conserved Plant” means plant species listed in the Appendices of the Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora prescribed by the Minister as conserved plant and published in the Government Gazette;
“Artificial Propagation” means propagation that does not occur naturally following rules and procedures prescribed by the Director-General;
“Label” includes any picture, imprint, or statement shown on a container; “Container" means any material used for packing or wrapping seed;
“Collect” means to collect seeds for selection or packing in a container;
“Sale” means to sell, distribute, give, or exchange. In this regard, it is for commercial purpose and includes possessing for sale.
“Import” means to bring order into the Kingdom;
“Export” means to take or send out of the Kingdom;
“Transit” means bringing or sending through the Kingdom via unloading or a change of vehicle;
“Premise” means the place, building, or part of the building and includes the site of the building;
“Committee” means the Plant Variety Committee;
“Competent Official” means a person appointed by the Minister for the execution of this Act;
“Director-General” means the Director-General of the Department of Agriculture; “Minister” means the Minister having charge and control of the execution of this Act.